รวบรวม #4 บทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “สุขภาพ” จากชาว pantip

รวบรวม #4 บทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “สุขภาพ” จากชาว pantip

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ

สุขภาพบทความ

สุขภาพของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มากระทบหลายสิ่ง ดังนั้นไม่ควรมองข้าม

วันนี้เรามีบทความเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพมาให้อ่านและแชร์กันจากชาว pantip เพื่อให้เป็นความรู้เพิ่มเติม หรืออาจจะเป็นประสบการณ์ที่ใครหลายคนพบเจอจึงมาบอกต่อให้กันเพื่อนำไปประยุกต์ให้เข้ากับตัวเองให้ได้มากที่สุด เกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองสนใจ

#4 บทความสุขภาพจากชาว pantip

กระทู้ “โภชนาการอาหารที่ดี รากฐานของสุขภาพที่แข็งแรง”

ตามคำจำกัดความขององค์กรอนามัยโลกคำว่า “สุขภาพ” หมายถึง สุขภาวะ (Well being) ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ใจ จิตวิญญาณ สามารถที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ซึ่งโภชนาการถือว่าเป็นรากฐานของสุขภาพ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรรู้และเข้าใจหลักโภชนาการอาหารที่ถูกต้อง โภชนาการอาหารที่ดีส่งผลทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์และสติปัญญา ทำให้ร่างกายแข็งแรงเจริญเติบโตเต็มที่ มีภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่แก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีผลทางวิทยาศาสตร์ให้ข้อมูลว่า อาหารที่รับประทานส่งผลต่อการพัฒนาทางสมองของมนุษย์ และยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า หากขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหรือโปรตีนสมบูรณ์จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อการเติบโตของสมอง

การบริโภคอาหารเปรียบเสมือนพลังงานที่ทำให้เราสามารถดำรงชีวิต ขับเคลื่อนระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น การหายใจ การย่อยอาหาร รวมถึงกิจกรรมในแต่ละวัน เช่น การเดิน วิ่ง ซึ่งแต่ละคนมีความต้องการและเผาผลาญพลังงานในร่างกายไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่เพศชายมีความต้องการพลังงานประมาณ 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน ส่วนผู้ใหญ่เพศหญิงมีความต้องการพลังงานเฉลี่ยประมาณ 1,700 กิโลแคลอรีต่อวัน ดังนั้น หากทานอาหารในปริมาณที่มากเกินกว่าความต้องการของร่างกายก็จะส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมัน และมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือหากทานอาหารในปริมาณน้อยและได้สารอาหารไม่ครบถ้วนก็จะทำให้ไม่มีกำลังเพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่จำเป็น

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานในแต่ละวัน ได้แก่ กลุ่มคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55-60 และควรเป็นแบบเชิงซ้อน เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท กลุ่มไขมันร้อยละ 25-30 เช่น ไขมันพืช ไขมันสัตว์ที่ควรเลือกทานตามความเหมาะสม กลุ่มโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์หรือถั่วต่าง ๆ เช่น ไก่ ไข่ ปลา หมู นม ประมาณร้อยละ 10-15 ส่วนกลุ่มวิตามินและแร่ธาตุต้องได้รับจากการบริโภคพืชผักและผลไม้ ในขณะเดียวกันควรออกกำลังกายอย่างพอดีและสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย

จากการศึกษาข้อมูล HDC ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (noncommuni-cable diseases หรือ NCDs) เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอาหารที่มีรสชาติหวาน มัน เค็ม เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ โรค NCDs เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการศึกษาและเข้าใจในเรื่องสุขภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดโรคภัยต่าง ๆ

สำหรับฉลากโภชนาการเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลสารอาหารที่ควรได้รับตามต้องการ เป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ หรือผู้ที่เป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งวิธีการอ่านฉลากควรเริ่มจาก 1.ดูปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค เป็นปริมาณการทานต่อครั้งที่แนะนำ 2.ดูจำนวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจุ เป็นจำนวนที่บอกว่าถ้าทานครั้งละหนึ่งหน่วยบริโภคจะแบ่งได้กี่ครั้ง 3.ดูคุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ว่าจะได้พลังงานเท่าใด สารอาหารอะไรบ้าง ในปริมาณเท่าใด 4.ดูร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งได้จากการทานหนึ่งหน่วยบริโภค

ในปี พ.ศ. 2559 มีการปรับปรุงฉลากโภชนาการให้เห็นชัดเจนและอ่านเข้าใจง่ายขึ้น เรียกว่าฉลาก GDA (Guideline Daily Amount) หรือฉลากหวาน มัน เค็ม ที่จะแสดงข้อมูลโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบรรจุภัณฑ์ โดยแสดงค่าพลังงาน (กิโลแคลอรี) น้ำตาล (กรัม) ไขมัน (กรัม) และโซเดียม (มิลลิกรัม) ที่ฉลากด้านหน้าหรือด้านหลังของบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจน และอ่านง่าย ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกผลิตภัณฑ์อาหารให้เหมาะสมกับความต้องการ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม อันเป็นสาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้

ดังนั้น ผู้บริโภคควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานการผลิตที่ดี น่าเชื่อถือ มีฉลากโภชนาการให้ข้อมูลเพื่อเป็นทางเลือกสุขภาพ รวมทั้งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารที่บริโภคนั้นปลอดเชื้อ ปลอดโรค ปลอดภัย ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ อ่านเพิ่มเติมคลิก

สรุปบทความสุขภาพนี้ได้ว่า “หลักสุขภาพเป็นหัวใจสำคัญในด้านของการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเน้นย้ำในเรื่องของอาหารหรือเรียกว่าโภชนาการที่จะช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายได้สามารถมีกำลังเพื่อทำกิจกรรมในด้านต่างๆได้ และเป็นตัวขับเคลื่อนสมองให้เกิดการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”

กระทู้ “จะรักษาสุขภาพจิตยังไงดีคะ?”

วิธีรับมือกับความเครียด เศร้า เสียใจ

***ทางด้านกายภาพ
เมื่อเครียด เศร้า เสียใจ สมองจะหลั่งสารความทุกข์ออกมา ได้แก่ สารคอร์ติซอล ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจหรือเครียด และสารนอร์เอพิเนเนฟริน รวมถึงสารอะดีนารีน ที่จะหลั่งออกมามากเวลามีความทุกข์มากๆ ผลของสารเหล่านี้ทำให้มีอาการเครียด กินข้าวไม่ลง ร้องไห้ฟูมฟาย นอนไม่หลับ ใจสั่น
ยิ่งถ้าไม่รู้จักรักตัวเองและหันมาดูแลตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองเศร้าเรื้อรัง อาการก็จะยิ่งหนัก ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า สมองเสื่อม

วิธีแก้ไข
ต้องทำให้ร่างกายหลั่งสารที่ต่อสู้กับความเครียด ความเศร้า ความเสียใจ โดย”การออกกำลังกาย” ให้มีเหงื่อออก แต่อย่าหักโหมเกินไป แล้วสมองจะหลังสารโดพามีน (Dopamine) คือสารเคมีในสมองที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าสารความสุขและทำให้สมองของเราหลั่งโปรตีน BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) กับเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ออกมาทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น ทำให้ลดความเครียด ลดความเศร้า ลดความวิตกกังวล บลาๆ ทำให้หลับสบาย

“ใช้เหตผล อย่าใช้ความรู้สึก”พยายามใช้สมอง ส่วนที่เป็นเหตุผล ใช้สติ ใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา แต่คนส่วนใหญ่จะถูกครอบงำโดยสมองส่วนที่เป็นความรู้สึก ทำให้ทำอะไรแบบไม่เข้าท่า

ตัวช่วย
1.ทำกิจกรรม ที่ทำให้รู้สึกมีความสุข ทำให้ตัวเองยิ้มได้ ยิ่งถ้าหัวเราะได้จะดีมาก เช่น
1.1 ร้องเพลงสนุกๆ (ห้ามเพลงเศร้า หรือเกียวกับความรัก)
หรือถ้าเป็นคาราโอเกะห้องเดี่ยว ตะโกนให้สุดเสียงก็ช่วยระบายได้ แต่อย่าตะโกนใส่ไมค์นะ เดี๋ยวโดนตื๊บ5555
1.2 ออกไปแดนซ์
1.3 ดูรายการที่สนุก หรือตลก
1.4 เปลี่ยนลุ๊ค แต่งตัวให้ดูดี
1.5 ไปเที่ยว
1.6 หาของอร่อยๆกิน ถ้ากินเยอะระวังลงพุง 5555
1.7 ไปชอปปิ้ง
1.8 ไปไหว้พระ9วัด เดินให้น่องบวมไปเลย อิอิ
2.เขียนระบายอารมณ์ เขียนข้อความ แต่ไม่ต้องเอาไปให้คนอื่นดูนะ เขียนเสร็จก็ฉีกทิ้งลงถังขยะไป
หรือวาดภาพก็ได้
3.หากำลังใจให้ตัวเอง
3.1 โทรไปหมายเลขที่ให้คำปรึกษาคนที่กำลังมีปัญหา
3.2 คุยกับญาติ หรือ เพื่อน ที่น่าจะไม่ซ้ำเติมเรา ที่น่าจะให้กำลังใจเรา
3.4 ไปหาข้อมูลในกูเกิ้ล หรือ ยูทูป เกี่ยวกับเรื่องให้กำลังใจคนที่คิดฆ่าตัวตาย แต่ต้องเอามาวิเคราะห์อีกทีว่าดีไหม เพราะบางอย่างแนะนำในทางลบก็มี
4.ออกไปสังคมกับเพื่อน
5.ไปเดินเล่น
6.อย่าปล่อยให้ว่าง เพิ่มกิจกรรมต่างๆ เช่นขี่จักรยาน ไปลงคอร์สทำขนม ทำเค้ก แต่งหน้า
7.ลองหากิจกรรมใหม่ๆทำ
8.จัดห้องใหม่ ย้ายของจัดวางใหม่ หาแจกันดอกไม้(พลาสติกก็ได้)มาเพิ่ม หารูปมาติดผนัง
9.ค้นดูในกูเกิ้ล
-วิธีแก้เครียด
-อาหารคลายเครียด (แนะนำเฉพาะอาหารทีายังไม่แปรรูป จะดีกว่า)

สิ่งที่ไม่ควรทำ
1.ขังตัวเองอยู่แต่ให้ห้อง จะทำให้รู้สึกแย่ลง
2.อย่าทำตัวแย่ เช่น ผมไม่หวี เอาแต่นอน
3.ฟังเพลงเศร้า
4.คิดถึงเรื่องที่ทำให้เครียด เศร้า เสียใจ
5.ดื่มเหล้า
ช่วงที่เมา ไม่ได้ลืมครับ แต่ไม่มีสติ
พอเริ่มสร่าง อาการจะหนักกว่าเก่า เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ จะไปกดประสาท ทำให้เศร้ากว่าเก่า
6.ดูดบุหรี่ ถ้าดูดอยูแล้วให้ดูดตามปรกติ แต่อย่าดูดเยอะขึ้น
เพราะในบุหรี่มีสารเสพติดที่เรียว่า นิโคติน หากหยุดเสพจะทำให้เครียด
แต่ถ้าเสพมาก ก็ยิ่งทำให้ระบบในร่างกายแย่ขึ้น ทำให้เครียดมากขึ้นด้วย
แต่ถ้าไม่สูบ ก็อย่าไปสูบเลยครับ
7.สารเสพติด ก็คล้ายๆเหล้าครับ แต่หนักกว่า แย่กว่า
8.อย่าทำร้ายตัวเอง
บางคนทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ
แต่ลองคิดดูซิครับ
ถึงขนาดสามารถทำร้ายได้แม้กระทั่งตัวเอง แล้วคนอื่นจะเหลือเหรอ
คนบางคนจะกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย

อย่าลืมรักตัวเอง อ่านเพิ่มเติมคลิก

สรุปบทความสุขภาพนี้ได้ว่า “อาการเศร้า เสียใจหรือเครียดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในกับทุกคนและทุกวัย แต่จะมีหนทางแก้ไขแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักตัวเองให้มากที่สุด วิธีการไม่สามารถใช้ผลสำหรับทุกคน การออกกำลังกายสามารถช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขได้”

กระทู้ “แบ่งปันวิธีการลดโรคอ้วน(ของเราเอง)ตั้งแต่เนิ่นๆ”

ขอมาแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง เพียง 5 วิธี ก่อนหน้านี้ จขกท น้ำหนัก 80 สูง 156 (ตอนนี้ 60 กิโลกรัม)

วิธีที่หนึ่ง
เป็นเรื่องของแรงใจล้วนๆ นั่นคือการตั้งเป้าหมายและ challengeตัวเอง อย่างจขกทเริ่มแรกจากการตั้งเป้าหมายจะลดน้ำหนัก 3 กิโลในหนึ่งเดือน และ challenge ตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

วิธีที่สอง
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การเริ่มต้นมันยากที่สุด แต่ถ้าได้เริ่มแล้ว รับรองเลยว่าติดใจแน่นอน มันเห็นผลและจะรักการออกกำลังการกันไปเอง โปรแกรมการออกกำลังกายของจขกทตามนี้เลยยยยยยย
1. ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-4 วัน ในตอนเช้าก่อนเข้างาน ประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน
2. วอมร่างกายด้วยการวิ่งประมาณ 20-30 นาที
3. เข้าคลาสคาดิโอ้ จขกทสมัคร fitness first เอาไว้ บอกเลยใช้คุ้มมากๆเต้นมันทุกคลาสสนุกด้วยเบิร์นด้วย การออกกำลังกายด้วยการคาดิโอทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและแคลลอรี่
4. แนะนำให้เล่นเวทควบคู่ไปกะการคาดิโอด้วย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งค่ะ

วิธีที่สาม
โดยปกติร่างกายคนเราควรบริโภคไม่เกิน 2000 แคลลอรี่ต่อวันขึ้นอยู่กับร่างกายและการใช้พลังงานมากน้อยของแต่ละคนด้วย ดังนั้นหากบริโภคที่พอเหมาะ ร่างกายจะใช้พลังงานที่ได้รับมาในการช่วยเสริมสร้างระบบต่างๆให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงการดึงส่วนเกินมาใช้และเผาผลาญออกไปอีกด้วย เมนูอาหารของจขกทมีดังนี้
มื้อเช้า ไข่ต้ม 2 ฟอง ผลไม้ และโยเกิร์ต กาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อเที่ยง สลัดหรือเมนูปลาเช่น ปลานึ่ง/ย่าง/เผา แต่เมนูทอดนี่ต้องของดทุกเมนู รวมถึงเมนูที่เป็นแป้งก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันค่ะ
มื้อเย็น แกงจืด+ข้าว หรือจะเป็นเมนูน้ำพริกก็ดีนะคะ ไม่อ้วนด้วย และตามด้วยแอปเปิ้ล 1 ลูกเพื่ออยู่ท้องและไม่หิวตอนกลางคืน

วิธีที่สี่
วิธีนี้ง่ายแสนง่ายและได้ผลสุดๆ การใช้ตัวช่วยนั่นเอง หลังจากศึกษาและอ่านรีวิวจากเพจต่างๆ จขกทก็เจออาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญอยู่หลายตัวทั้ง แอลคาร์นิทีน Purlina และMeta Pro

วิธีที่ห้า
ขอบอกก่อนว่าวิธีนี้จะเปลือง และทำให้กระเป๋าตังฉีกอยู่หน่อยๆ นั่นกะคือการนวดกระชับสัดส่วนนั่นเอง จขกทเป็นแฟนคลับ clarins อยู่แล้ว สาวๆหลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อแบรนด์นี้อยู่บ้าง แบรนด์นี้จะเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระชับสัดส่วน และนวดเพื่อเผาผลาญไขมัน สินค้าดีและบริการประทับใจมากๆ จขกทซื้อคอร์สมา 1 คอร์ส 20000 บาท(เงินเดือนทั้งเดือนเลย T^T)` นวดทั้งใบหน้าและตัวค่ะ นวดเสร็จนี่รู้สึกผ่อนคลายมากๆ ถ้าเมื่อไหร่จขกทว่างก็จะหาเวลาไปตลอดค่ะ อ่านเพิ่มเติมคลิก

สรุปบทความสุขภาพนี้ได้ว่า “บทความที่แชร์ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักที่ได้ผ่านการทดลองมาด้วยตนเองด้วยการทำทั้ง 5 วิธีด้วยกัน เน้นการควบคุมอาหาร และใช้การออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญมากกว่าสิ่งที่ทานเข้าไปเพื่อให้น้ำหนักลดลงนั้นเอง ซึ่งใช้ความท้าทายตนเองและความมีวินัยสูงมาก เพราะเป็นการลดน้ำหนักแบบไม่หักโหม” 

กระทู้ “ตัวช่วยของคนขี้เกียจ โยคะง่ายๆ สไตล์ผู้ป่วยติดเตียง”

เราเป็นคนขี้เกียจค่ะ โดยเฉพาะการออกกำลังกายนี่ไม่ใช่ทางเลย ตอนอยู่วัยละอ่อนก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรนะ แต่พออายุเริ่มเยอะขึ้น (จริงๆ ก็ไม่เยอะเท่าไรหรอก!) ก็เริ่มมีอาการปวดแข้งปวดเข่า บางทีก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเฉยๆ เพื่อนหลายคนก็แนะนำให้ไปหาหมอ แต่ใครจะไปล่ะ แพงจะตาย…

จนมีเพื่อนคนนึงแนะนำหนังสือ “โยคะสไตล์คนขี้เกียจ” ของสำนักพิมพ์ไดฟุกุ มาให้อ่านค่ะ เหมือนจะให้มาเพราะประชดยังไงไม่รู้ แต่สุดท้ายก็ลองอ่านขำๆ ดู เพราะในเล่มเป็นการ์ตูนน่ารักดี

ในเล่มก็จะบอกวิธีการทำท่าโยคะง่ายๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ นั่งทำงานอยู่ยังลุกขึ้นมาทำได้เลยนะ! (แต่เราไม่เคยเอาไปทำที่ทำงานจริงๆ หรอกฮา ~)

มีท่านึงที่เราทำแล้วรู้สึกว่ามันดี แถมทำได้ง่ายๆ ด้วย เลยเอามาบอกต่อค่ะ

เราทำท่านี้เวลาเลิกงานกลับมาถึงบ้านค่ะ เพราะบางทีทำงานเครียดๆ มาแล้วเคยเอาอารมณ์เครียดของเราไปลงกับคนที่บ้าน ซึ่งมันแย่มากๆ เราเลยทำท่านี้เพื่อปรับอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง ผ่อนคลายสิ่งที่เครียดมาทั้งวัน ซึ่งมันช่วยได้จริงๆ นะ รู้สึกเลยว่ามีสติขึ้น หัวโล่งสบายขึ้น เพราะสมองได้รับออกซิเจนเพียงพอ

หลังจากเราอ่านหนังสือเล่มนี้ไปได้ไม่นานก็ได้ไปเจอหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เป็นเหมือนเล่มต่อ นั่นคือ “โยคะสไตล์คนขี้เกียจ ยิ่งกว่าเดิม” ตอนแรกที่เจอก็คือทั้งขำ ทั้งงง เพราะในเล่มก่อนหน้าก็ดูขี้เกียจแล้วนะ ยังมีเล่มสำหรับคนที่ขี้เกียจยิ่งกว่านี้อีกเหรอ สำนักพิมพ์ไดฟุกุก็ช่างสรรหา 5555 เราเลยได้ลองเอามาอ่านดู

เราเองก็เพิ่งรู้ว่าน่องมีความสำคัญขนาดนี้ แถมพอทำติดต่อกันไปนานๆ อาการหน้ามืดของเราก็น้อยลง อาจเป็นเพราะเลือดสูบฉีดได้ดีจากการนวดน่อง

ใครที่มีปัญหาสุขภาพสามารถเอาท่าโยคะในสองเล่มนี้ไปทำตามได้นะคะ มีหลายท่าที่ทำได้ง่ายๆ นอนว่างๆ ก็ทำได้ เล่มบางๆ เหมาะกับคนขี้เกียจ ราคาไม่กี่บาท อ่านเพลินๆ หรือจะซื้อให้คุณตาคุณยายที่บ้านอ่านเล่นก็ได้นะ ท่าง่ายๆ ผู้สูงอายุทำตามได้ไม่ต้องกลัวล้ม  อ่านเพิ่มเติมคลิก

สรุปบทความสุขภาพนี้ได้ว่า “สำหรับสายขี้เกียจออกกำลังกาย การเล่นโยคะเป็นทางออกที่ดีมาก บทความนี้เล่าถึง หนังสือโยคะสไตล์คนขี้เกียจของสำนักพิมพ์ไดฟุกุ ที่ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับตลกขำขันแต่เปี่ยมไปด้วยสารถและท่าเล่นโยคะที่แทรกมา เป็นโยคะอย่างง่ายที่สามารถเล่นที่ได้ก็ได้ ใครก็สามารถทำได้ด้วย ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีเลยทีเดียว”

สรุปบทความ

สุขภาพบทความ

การดูแลตัวเองในเรื่องของสุขภาพถือเป็นเรื่องที่จำเป็น หากคุณสนใจเรื่องมองหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพทั้งสุขภาพกายและจิต รวมไปถึงการทานอาหาร ก็สามารถอ่านได้ตามบทความที่ได้ยกมาให้เห็นทั้งเรื่องของอาหารการกิน การออกกำลังกาย รวมไปถึงการรักษาจิตใจให้คงที่จากชาว pantip

สุขภาพLatest articles in the category