ใครที่กำลังมองหาวิธีทำให้หน้าเรียวเชิญทางนี้เลยค่าาาา ∼
ปัจจุบันการทำให้หน้าเรียวนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยค่ะเพื่อนๆ แถมยังมีให้เลือกตั้งหลายวิธี หนึ่งในวิธีนั้นก็คือการทำคางให้ดูยาวขึ้นนั้นเอง นอกจากจะช่วยให้หน้าเรียวขึ้นแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาในคนที่มีคางสั้น คางตัด
คางบุ๋ม และอื่นๆได้อีกด้วย ซึ่งวิธีที่นิยมที่สุดก็คงเป็นการฉีดฟิลเลอร์ และการเสริมคางด้วยซิลิโคนนั่นเอง แต่วิธีไหนจะดีกว่ากัน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เพื่อนๆเห็นกันชัดๆไปเลยว่าทั้งสองวิธีนี้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยยยยยยย
เสริมคางด้วยซิลิโคนหรือฉีดฟิลเลอร์ แบบไหนดีกว่ากัน ?
เสริมคางด้วยซิลิโคน | เสริมคางด้วยฟิลเลอร์ | |
---|---|---|
วิธีการ | เป็นการผ่าตัดเล็ก เพื่อเสริมซิลิโคนเข้าไป มีทั้งแบบที่เห็นแผลบริเวณใต้คาง และซ่อนแผลในช่องปาก | เหมือนการฉีดยาทั่วไป ไม่เจ็บเลยค่ะ อาจจะเห็นรอยเข็มบ้างเล็กน้อย ไม่นานก็หายแล้ว |
รูปทรง | คุณหมอสามารปรับแต่งรูปทรงซิลิโคนให้เข้ากับใบหน้าได้ และจะคงรูปอยู่แบบนั้นตลอดไม่เปลี่ยน | ปรับแต่งไม่ได้ และมีโอกาสไหลได้ ทำให้คางผิดรูป |
ความปลอดภัย | ปลอดภัยกว่า ถ้าใช้ซิลิโคนที่ได้มาตรฐาน และผ่านการผ่าตัดที่ถูกวิธี ผลข้างเคียงน้อยมากค่ะ | ถ้าใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานก็ถือว่ามีความปลอดภัย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่นานไปซิลิโคนจะไหลจนทำให้เกิดอันตรายได้ |
การพักฟื้น | ผ่าเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้เลยค่ะ แต่ต้องดูแลรักษาให้ดี อาจมีอาการบวมช้ำบ้างเล็กน้อยในช่วงแรกๆ | ไม่ต้องพักฟื้น ฉีดปุ๊บสวยปั๊บ กลับไปทำงานได้เลย ในบางรายอาจมีอาการบวมแต่ก็น้อยมากค่ะ |
อายุการใช้งาน |
ทำแล้วอยู่ได้ตลอดชีวิต | ฟิลเลอร์จะสลายไปตามเวลา โดยมากอยู่ได้ 1-2 ปี จึงต้องเติมใหม่เรื่อยๆ |
ราคา |
ราคาอยู่ที่หลักพันปลายๆถึงหลักหมื่นต้นๆ เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานถือว่าถูกมากเลยค่ะ | ราคาต่างกับการเสริมซิลิโคนไม่มาก หรือบางที่ก็เท่ากับการเสริมซิลิโคน แต่อยู่ได้ไม่นาน ถ้าต้องทำไปเรื่อยๆ รวมแล้วถือว่าราคาสูงทีเดียว |
ผลที่ได้ | แก้ปัญหาคางได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม ซึ่งจะเป็นธรรมชาติหรือไม่ก็อยู่ที่ฝีมือของคุณหมอและทรงที่เลือกด้วยค่ะ | ดูเป็นธรรมชาติ เพราะจะเสริมได้ไม่มากนัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหามาก แค่ต้องการเพิ่มความยาวเล็กน้อย |
การแก้ไข | ถ้าไม่ชอบสามารถผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ได้ |
ถ้าไม่ชอบสามารถรอให้ฟิลเลอร์สลายไปเอง โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าต้องการแก้ไขแบบด่วนๆ ต้องขูดของเก่าออกก่อน เพราะฟิลเลอร์จะเกาะที่ผิวหนัง |
สำหรับเพื่อนๆที่อยากสวยแบบถาวร ไม่อยากเสียเวลาไปเติมบ่อยๆ
วันนี้เรามีคลินิกที่ให้บริการเสริมคางด้วยซิลิโคนมาแนะนำด้วย
รับรองว่าคุณหมอฝีมือดีมากกก และต้องออกมาถูกใจเพื่อนๆอย่างแน่นอน
จะมีคลินิกไหนบ้าง ไปดูกันเลยยยย
ขอแนะนำ 6 คลินิกทำคางยอดนิยม
เราไปแก้จมูกกับหมอเฉลิมมาค่ะ แก้เพราะอยากได้ปลายจมูกที่แหลมขึ้นอีกจากทรงเดิม สวยแล้วก็อยากสวยอีก!! คือไปให้หมอใส่เมกะเดิร์มที่ปลายจมูกให้ มันเป็นเนื้อเยื่อเทียมความยืดหยุ่นสูงและปลอดภัย ปลายแหลมยังไงหมอรับประกันว่าไม่ทะลุแน่นอนจ่ะ
แต่รอบนี้แก้จมูกอย่างเดียวไม่พอค่ะ หมอแนะนำให้ทำตา+คางเพิ่มอีก มีแต่คนเชียร์บอกสวยแน่นอน!! ไอ้เราก็บ้ายอ เลยตัดสินใจทำตา+คางต่อ อย่างภายวันเดียวกัน คืออยากสวยอ่ะโลกโปรดเข้าใจ 55555
เราทำตา+คาง กับหมอนิจ ลูกศิษย์หมอเฉลิม หมอใจดี น่ารักมากๆ แนะนำและให้คำปรึกษาดีมากค่ะ จะทำตาสายฝอ สายเกา หมอแนะนำได้หมด ส่วนเคสเราคืออยากได้คางกับตาที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูปลอมเกินไป
ผลลัพธ์ที่ได้เราพอใจมากกก ชอบมาก จมูกพุ่งจนโลกจดจำ สำหรับตา+คางก็ออกมาแบบธรรมชาติสมใจ คือถ้าไม่บอกเพื่อนบางคนก็ดูไม่ออกว่าทำมา บางคนทักว่าผอมลง เราก็อุ๊ย! แค่คุมอาหารนิดหน่อยเอง แต่ความจริงป่าวจ่ะ เจ๊ทำคางมา 55555 รีวิวจากผู้ใช้บริการจริงใน Pantip คุณ สมาชิกหมายเลข 2945331 อ่านรีวิวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
สรุปทำคางแบบไหนดี
อันที่จริงแล้วทั้งการฉีดฟิลเลอร์และการเสริมซิลิโคนนั้นก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ถ้าเพื่อนๆต้องการเสริมไม่มาก เสริมแบบชั่วคราว หรือแบบเร่งด่วน แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ค่ะ เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น แต่ถ้าเพื่อนๆมีปัญหาเกี่ยวกับคางเป็นพิเศษ แนะนำให้เสริมด้วยซิลิโคนจะเห็นผลได้ดีกว่า อยู่ได้นาน และราคาถูกกว่าด้วยค่ะ
ที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าลืมตรวจสอบให้ดีด้วยว่าฟิลเลอร์และซิลิโคนที่ทางคลินิกนำมาใช้นั้นได้มาตรฐานและผ่านการรับรองหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจะเป็นอันตรายได้น้าาาา
ตอนมาเจอคุณหมอจริงๆ เหมือนที่คิดไว้ทุกอย่างเลยค่ะ ใจดี และเก่งมากๆ ให้ความรู้เยอะมาก ไม่ดุเลยค่ะ หมอดูหน้าเราวัดนู้นวัดนี้แล้วบอกได้เลยว่าเหมาะกับคางทรงไหน แต่ที่ดีไปกว่าคือหมอถามเราทุกครั้งเลยว่า ชอบแบบไหน แบบนี้ดีไหม เราคิดว่ายังไง คือทุกขั้นตอนเราได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยเสมอเลย คุณหมอไม่มีการมาบังคับหรือกดดันใดๆ เลยค่ะ เราประทับใจตรงนี้มากๆ
ส่วนพี่ๆ พนักงานก็ต้อนรับอบอุ่น ตั้งแต่เดินเข้าไปจนถึงตอนนี้รู้ได้เลยว่าทุกคนดูแลกันเหมือนครอบครัวมากๆ รีวิวจากผู้ใช้บริการจริงใน theerathornclinic คุณ ณิชา อ่านรีวิวเพิ่มเติมคลิกที่นี่