Hi Hi นะคะทุกคนนน
แอดว่ายุคนี้สมัยนี้สภาพแวดล้อมของโลกที่หมุนไปเร็วเหลือเกินนน จนแอดเองก็ตามไม่ทัน และนั้นเองความรีบเร่งและการแข่งขันต่างๆก็สร้างแรงกดดันให้เกิดความเครียดและนั้นก็ส่งผลทำให้เราป่วยได้ วันนี้แอดจะขอพูดถึง “โรคซึมเศร้า”
แน่นอนว่าทุกคนต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง จากแหล่งข่าวหรือสื่อต่างๆ มักจะแสดงให้เห็นว่าคนที่ป่วยโรคซึมเศร้านั้นเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังเพราะพวกเขามักจะคิดว่าตัวเองนั้นไร้ค่าและทำร้ายร่างกายตัวเอง!!
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าป่วยหรือแค่เศร้าเฉยๆ ถ้าป่วยจริงจะรักษาอย่างไร? น่ากลัวไหม? วันนี้แอดมีคำตอบให้กับทุกคนแล้ว รับรองเลยว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักคร่าวๆกับโรคนี้ก่อนดีกว่า ไปปปป
โรคซึมเศร้าคืออะไร ?
” โรคซึมเศร้า ” คือโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองมีความผิดปกติ สารสื่อประสาทเหล่านั้นคือสารที่ส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก ความคิดโดยตรง ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเมื่อไร ก็จะส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้านั้นเอง และปัจจัยต่างๆรอบตัวเราก็อาจไปกระตุ้นสารสื่อประสาทนั้นให้เกิดความผิดปกติได้ เช่น ความเครียดสะสม ความเสียใจมากเกินรับไหว ความผิดหวังซ้ำๆ หรือการถูกทำร้ายหรือกลั่นแกล้งนั้นเอง
เห็นไหม ว่า ” โรคซึมเศร้า ” คืออาการป่วยของสมองที่มีความผิดปกตินะ อย่าละเลยเด็ดขาด
หลายคนคงเริ่มกังวลแล้วใช่ไหมว่า คนรอบตัวหรือเราเอง เข้าข่ายโรคนี้หรือเปล่า วันนี้แอดมี อาการเบื้องต้นมาให้ทุกคนได้เช็กกัน ไปลุยกันเลยยย
อาการของโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้า มี 9 อาการบ่งชี้ ดังนี้
- มีอาการซึมและรู้สึกเศร้าตลอดทั้งวัน
- ความสนใจในการทำกิจกรรมลดลง
- น้ำหนักขึ้นและลดลงผิดปกติ
- นอนไม่หลับ หรือ นอนหลับนานผิดปกติ
- รู้สึกกระวนกระวาย หรือ รู้สึกทำอะไรช้าลง
- ร่างกายรูสึกอ่อนเพลีย
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
- สมาธิสั้นจิตใจล่องลอย หรือ รู้สึกลังเลเมื่อต้องตัดสินใจ
- คิดอยากตายหรือทำร้ายตัวเอง
(สังเกตอาการในระยะเวลา14วัน)
หากมีอาการ ดังกล่าวถึง5 ข้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์นะทุกคนน
** แอดขอแนะนำ แบบทดสอบที่ละเอียดมากถ้าหากใครรู้สึกว่าไม่มั่นใจใน9ข้อนี้ ก็สามารถเข้าไปทำแบบทดสอบได้เลยน้าา ** คลิกเพื่อทำแบบทดสอบ
งั้นมาที่การรักษากันดีกว่า หลายคนคงกลัวแล้วใช่ไหมว่าการรักษาโรคซึมเศร้าเนี่ยจะน่ากลัวเหมือนในภาพยนตร์ไหม แอดรับรองว่ามัน Soft กว่ามากๆแน่นอน อย่ารอช้า ไปลุยกันเลยย
การรักษาโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้ามี 2 วิธีดังนี้
1.การรักษาด้วยจิตบำบัด (การปรึกษาจิตแพทย์)
การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการรักษาเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดและจิตใจของผู้ป่วยโดยจิตแพทย์จะให้คำแนะนำและคอยหาทางช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาและผ่านพ้นมันไปได้
การรักษาด้วยจิตบำบัดนี้ ยังรวมถึงการทำสมาธิเพื่อให้ความเครียดลดลงและการฝึกพฤติกรรมต่างไป เช่น การสร้างสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การรักตัวเองและเห็นคุณค่าของตัวเอง
2. การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยา คือการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง แล้วแต่อาการของแต่ละคน ทั้งนี้การรักษาด้วยยาแม้จะไม่ยุ่งยากอะไรแต่ต้องใช้เวลาในการรักษา และผลข้างเคียงของยาแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกันอีกด้วย งั้นเรามารู้จักกับผลข้างเคียงของยาแต่ละกลุ่มกัน
- ยากลุ่ม Tricyclics อาการข้างเคียง คือ
คอแห้ง / ปากแห้ง
ท้องผูก
มึนงง
ตาพร่ามัว
หน้ามืด
หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ
ง่วงนอน - ยากลุ่ม Tetracyclics อาการข้างเคียง คือ
ปากแห้ง
ง่วงนอนมาก - ยากลุ่ม Triazolopyridines อาการข้างเคียง คือ
ง่วงนอนมาก
มึนงง
ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่าทำงาน
ปวดหัว - ยากลุ่ม NDRI อาการข้างเคียง คือ
ปากแห้ง
นอนไม่ค่อยหลับ
คลื่นไส้
อาเจียน - ยากลุ่ม SSRI อาการข้างเคียง คือ
คลื่นไส้อาเจียน
ปวดศีรษะ
ท้องเสีย
นอนไม่หลับ
ความต้องการทางเพศลดลง - ยากลุ่ม SNRI อาการข้างเคียง คือ
ปากแห้ง / คอแห้ง
คลื่นไส้อาเจียน
นอนไม่หลับ
ความต้องการทางเพศลดลง
และนี้ก็คือ การรักษาโรคซึมเศร้าทั้ง2วิธีแต่ การรักษานั้นขึ้นอยู่กับว่าแพทย์วินิจฉัยว่าเหมาะที่จะรักษาด้วยวิธีไหน
บทสรุป การรักษาโรคซึมเศร้าน่ากลัวอย่างที่คิดไหม
แอดขอบอกเลยนะว่าปัจจุบันการรักษาโรคซึมเศร้าไม่ได้น่ากลัวและเจ็บปวดอย่างเมื่อก่อนแล้ว ทุกคนสบายใจได้เลยว่า 2 วิธีการรักษาแบบนี้จะทำให้หายขาดจากโรคซึมเศร้าได้และอย่าลืมรู้ตัวเองว่าป่วยแล้วรีบปรึกษาจิตแพทย์โดยด้วยเลยนะทุกคน ปล่อยไว้นานอันตรายมากเลยน้าา
และแอดขอฝากถึงเพื่อนๆที่มีคนรู้จักหรือคนรอบตัวที่ป่วยโรคนี้แอดอยากให้ทุกคนเข้าใจคนเหล่านี้ให้มากๆ อย่าใช้คำพูดหรือการกระทำที่รุนแรงหรือทำให้พวกเขารู้สึกแย่นะ เพราะพวกเขาอ่อนไหวมากๆ วันนี้คงต้องขอตัวไปก่อน บ้ายบายยยยย
** แอดเป็นห่วงน้าา **
Write a comment