แสงแดดประเทศไทยชั่งเป็นปัญหาของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน แดดแรง รังสี UV ก็แรงตาม ครีมกันแดด สารกันแดดต่ำ ๆ จะปกป้องผิวไหวหรือเปล่า ส่วนใหญ่แล้วครีมกันแดดที่วางขายมักจะมีตั้งแต่ SPF (Sun Protection Factor) 15 – 75
หลายคนอาจจะอยากป้องกันผิวจากรังสี UV มากกว่าเดิม เพราะอาจจะต้องเล่นกีฬา ออกแดดจัดบางครั้งบางคราว หรือกิจกรรมทางน้ำต่างๆ หลายคนก็จะเริ่มมองหาครีมกันแดดแบบที่ป้องกันได้ 100% เลย แล้วมันอันตรายหรือเปล่า ใช้ได้หรือไม่ และมีแบรนด์ไหนทำออกมาบ้าง
รู้จักแสงแดดและ รังสี UV
แสงแดดเป็นแสงที่ส่องผ่านจากดวงอาทิตย์มาสู่โลกและรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดดคือรังสี infrared (Visible Light ) และรังสี UV (Ultraviolet ) อธิบายแบบง่าย คือ แสงที่มองเห็น (Visible Light )และแสงที่มองไม่เห็น (Invisible Light )
แสงที่มองเห็นได้ จะมีพลังงานค่อนข้างต่ำแต่ทำให้ผิวคล้ำเสียได้หากโดนแสงแดดเป็นระยะเวลานาน เป็นแสงที่ช่วยกระตุ้นอนุมูลอิสระ และทำให้ผิวเสื่อมสภาพ กระตุ้นการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ
แสงที่มองไม่เห็น แต่ผิวของเราสัมผัสได้ คือรังสี UV (Ultraviolet) ต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่ทำร้ายผิวของเรา
UVA – เป็นแสงที่สร้างความหมองคล้ำให้กับผิว เปลี่ยนเม็ดสีเมลานินในผิวให้ผิวคล้ำขึ้นในระยะสั้น ทำให้ผิวเสื่อมสภาพถึงผิวหนังชั้นล่างสุด ทำลายเซลล์ผิวลึกและทำลายคอลลาเจนในผิวอีกด้วย สาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอยก่อนวัยอันควร ก่อสารอนุมูลอิสระและยังเป็นแสงที่มีตลอดทั้งวัน สามารถทะลุผ่านก้อนเมฆและกระจก
UVB – เป็นแสงที่มีทั้งประโยชน์และโทษ ประโยชน์ก็คือมีวิตามิน D ช่วงเวลา 8:00 – 10:00 เป็นวิตามินผิว สาว ๆ ที่ชอบอาบแดดเพื่อผิวแทน แต่โทษของมันคือทำให้ผิวคล้ำเสีย และผิวไหม้ภายใน 15 นาที หากไม่ทาครีมกันแดด (Sunburn) กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินใหม่และเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำระยะยาว เช่นฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
SPF และ PA คืออะไร
SPF (Sun protection Factor) คือสารกันแดดที่ผสมอยู่กับครีม จำนวนของ SPF คือระยะเวลาของการปกป้องผิวจาก รังสี UVA โดยปกติผิวอาจจะไหม้ภายใน 15 นาทีหากไม่ทาครีมกันแดด แต่การทาครีมกันแดดจะทำให้แสงแดดทำลายผิวให้ไหม้ ต้องใช้เวลามากถึง 15 เท่าจึงจะสามารถทำให้ผิวไหม้ได้
PA ( Protection Grade of UVA ) คือ ประสิทธิภาพในปกป้องผิวจากรังสี UVA ลดโอกาสของริ้วรอยก่อนวัยและรอยย่นบนผิว และยิ่งต้องอยู่ท่ามกลางแดดจัด ๆ ต้องใช้ PA++++ (4บวก) ยิ่งบวกเยอะ ยิ่งปกป้องสูง
ครีมกันแดด SPF 100 อาจจะทำให้ผิวแพ้ง่ายระคายเคืองได้เนื่องจาก สารกันแดดเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเดิม และสารกันแดดก็คือเคมีที่มากขึ้น การมีสารกันแดดมากถึง 100 ไม่ได้แปลว่าจะปกป้องได้ดีกว่าเสมอไป เพราะ SPF ยิ่งสูง ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ลดลง อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้หากโดนรังสี UVA สะสม หลายคนอาจจะคิดว่า SPF 100 เพิ่มการปกป้องผิวมาตั้ง 50% แต่จริง ๆ มันเป็นแค่เปอร์เซ็นต์เล็ก ๆ เท่านั้นเอง
SPF 100 แตกต่างจาก SPF 15 – 50 ยังไง
จริง ๆ แล้วเปอร์เซ็นต์ของ SPF 15 – 100 ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก แต่ละตัวเปอร์เซ็นต์ต่างกันไม่เท่าไหร่เลย แต่หลายผลิตภัณฑ์ ยิ่งมีค่า SPF สูง ยิ่งราคาแพง
SPF 15 – ปกป้องรังสี UV ได้ประมาณ 93.3%
SPF 30 – ปกป้องรังสี UV ได้ประมาณ 96.7%
SPF 50 – ปกป้องรังสี UV ได้ประมาณ 98%
SPF 100 – ปกป้องรังสี UV ได้ประมาณ 99%
จากตรงนี้ SPF 30 ก็สามารถปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ได้มากถึง 96.7% ในขณะเดียวกันครีมกันแดดที่มี SPF 50 ราคาต่างกับ SPF 50 เป็นอย่างมาก เทียบกับการปกป้องแสงแดดและรังสี UV ต่างกันเพียงแค่ 1.3% เท่านั้น
บทสรุปของบทความ ครีมกันแดด SPF 100
สรุปแล้วว่าเดินทางสายกลางดีที่สุดค่ะ เพราะครีมกันแดด SPF 100 ไม่ได้แปลว่าป้องกันผิวได้ดี มันคือการเอาผิวไปเสี่ยงกับเคมีโดยใช่เหตุ SPF 100 เหมือนเป็นการตลาดและเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ ทั้ง ๆ ที่ป้องกันเพิ่มมาจาก SPF 50 เพียง 2 % และโดยปกติในชีวิตประจำวัน ใช้ครีมกันแดด SPF 30 ก็เพียงพอแล้ว และมั่นเติมครีมกันแดด ทุก ๆ 2 ชั่วโมงหากต้องออกแดดจัด ๆ เลือกครีมกันแดดที่มี SPF ที่เราต้องการ และต้องมี PA ที่เหมาะกับความต้องการป้องกันรังสี UVA กันด้วยนทุกคน
Write a comment