#10 วิธีสังเกตอาการว่า ‘ท้อง’ หรือยัง?
วันนี้เรารวบรวม 10 สัญญาณเบื้องต้น มาให้เช็กกันค่ะว่า คุณมีแนวโน้มที่จะตั้งครรภ์แล้วหรือเปล่านะ
- ประจำเดือนขาด
ข้อนี้สำคัญมาก คือสิ่งแรกที่ทำให้หลายคนสงสัยเลยค่ะว่ากำลังตั้งครรภ์หรือเปล่า แต่ในบางครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะท้องเสมอไปนะคะ สำหรับบางกรณีอาจเป็นเพราะว่าประจำเดือนมาไม่ปกติ มาช้า หรือเป็นเพราะทานยาคุมฉุกเฉิน ทำให้ประจำเดือนมาไม่ตรงรอบได้ - มีเลือดหรือมูกสีชมพูเล็กน้อย
บางคนอาจคิดว่าเป็นประจำเดือนมาน้อยหรือเปล่า แต่ความจริงไม่ใช่นะคะ เลือดจะออกมาน้อยกว่าการเป็นประจำเดือนมาก ผู้ใหญ่บางคนอาจเรียกว่าเลือดล้างหน้าเด็ก เป็นเลือดที่เกิดจากการฝังตัว หลังจากเกิดการปฏิสนธิไปแล้ว ซึ่งคราบเลือดนี้จะปรากฏไม่เกิน 2 วันค่ะ - อาการคัดตึงเต้านมและขยายขนาดขึ้น
จริงๆแล้วอาการนี้ หลายคนอาจประสบในช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะมาอยู่แล้วใช่ไหมคะ เลยไม่รู้สึกว่าจะเกิดการตั้งครรภ์แต่อย่างใด แต่ข้อแตกต่างคือ อาการนี้จะเกิดหลังจากที่ประจำเดือนของเราไม่มาแล้วค่ะ - ตกขาวเยอะกว่าปกติ
ข้อนี้ก็มีอาการคล้ายกับช่วงที่ประจำเดือนจะมาอีกแล้วค่ะ แต่ในความเป็นจริง ผู้หญิงเราคงไม่รู้สึกแปลกใจมากกับอาการตกขาว แต่หากว่ามันเยอะเกินกว่าที่เคยเป็นมาอันนี้น่าสงสัยแล้วล่ะค่ะ ว่ามีเกณฑ์ตั้งครรภ์สูง ข้อควรระวังคือ ตกขาวทั่วไปควรมีสีขาวขุ่น หากเป็นสีอื่น หรือสีคล้ำ มีอาการคันร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ค่ะ - คลื่นไส้หรือแพ้ท้อง
บางคนได้กลิ่นอาหารหรือกลิ่นฉุนบางอย่างจะรู้สึกอยากอาเจียน แค่เห็นก็ทนไม่ไหวแล้ว อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่ท้องได้ประมาณ 4 สัปดาห์แล้ว เป็นระยะเวลาที่น้อยมากค่ะ ที่จะรู้ตัวว่าท้อง ถ้าไม่ทำการตรวจ เนื่องจากบางคนรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย เป็นบางครั้ง - อาการปวดหลัง
ค้นพบว่าหลายคนมีอาการปวดหลังในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ค่ะ ด้วยสรีระที่กำลังเปลี่ยนไปเพื่อรับตัวกับการมีลูกน้อย - มีสิว
ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ผู้หญิงอาจมีสิวขึ้นมากกว่าปกติ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ หลังจากที่คลอดแล้ว หน้าจะค่อยๆกลับมาใส และฟื้นฟูได้สวยเหมือนเดิม - มีไข้อ่อนๆ
เนื่องจากร่างกายหรือสรีระของว่าที่คุณแม่กำลังมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ร่างกายมีความร้อนสูง ทำให้คุณแม่อาจรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ ในช่วงตอนเย็นค่ะ - ท้องอืดและท้องผูก
สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่รองรับการตั้งครรภ์ มดลูกกำลังขยายขนาด ทำให้เบียดหรือกดทับลำไส้ย่อยอาหาร จนทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกอึดอัดท้องนั่นเองค่ะ แก้ได้ด้วยการทานอาหารที่มีไฟเบอร์เพื่อช่วยขับถ่าย - ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
เพราะมดลูกกำลังขยายขนาดมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายพยายามหล่อเลี้ยงมดลูกนั้น ด้วยการลำเลียงเลือดหรือสารอาหารต่างๆ ทำให้ร่างกายทำงานหนัก และพยายามขับของเสียที่เหลือนั้น ให้ออกจากร่างกายโดยการปัสสาวะค่ะ ถ้าใครไม่เคยตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก แต่ช่วงนี้เป็นบ่อยก็พอจะสังเกตได้ค่ะ
ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นอาการหลักๆ ของผู้ที่กำลังจะตั้งครรภ์ทั้งนั้นเลยค่ะ แต่บางคนก็อาจคิดว่า เรามีอาการแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วในช่วงที่กำลังจะเป็นประจำเดือน แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราท้องจริงๆ?
ดังนั้นเราจึงขอแนะนำวิธีที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงทุกท่าน ด้วยการซื้ออุปกรณ์เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ให้ชัวร์ไปเลยค่ะว่าท้องแล้วหรือยัง ? ลองไปดูวิธีใช้กันเลยค่ะ
วิธีการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง
วิธีตรวจการตั้งครรภ์ยอดนิยมที่สุด คือการตรวจหาฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าฮอร์โมน HCG ค่ะ เมื่อเริ่มมีการปฏิสนธิ ร่างกายก็จะเริ่มมีฮอร์โมนนี้ขึ้นมาอ่อนๆ หรือจะเข้มขึ้น หลังจากวันที่ประจำเดือนของเราขาดไปแล้ว จะชัดเจนและมีปริมาณที่มากขึ้นค่ะ จนสามารถใช้ที่ตรวจครรภ์ตรวจหาได้ง่าย แม่นยำมาก
ซึ่งจะตรวจหาฮอร์โมน HCG ของเราได้จากปัสสาวะค่ะ หากต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรเป็นปัสสาวะแรกในยามเช้า เพราะจะมีฮอร์โมน HCG เข้มข้นที่สุด
รูปแบบของอุปกรณ์การตรวจการตั้งครรภ์จะมีอยู่ 3 แบบด้วยกัน ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมซื้อมาใช้ตรวจด้วยตนเอง
- แบบจุ่ม มีลักษณะเป็นกระดาษ แท่งยาว จุ่มลงในปัสสาวะประมาณ 30 วินาที แล้วรออ่านผลไม่เกิน 5 นาทีค่ะ
- แบบหยด คือหยดปัสสาวะลงในถาดตรวจ ส่วนใหญ่จะมีถาดรองและหลอดดูดปัสสาวะแถมมาให้ในกล่องอยู่แล้วค่ะ
- แบบปากกา ปัสสาวะผ่าน โดยจะมีด้ามจับ คุณผู้หญิงสามารถปัสสาวะผ่านตามด้านปากกาของอีกด้านได้เลยค่ะ
ส่วนใหญ่แล้ว หลังจากที่ทำขั้นตอนการตรวจครบเสร็จสิ้น จะใช้เวลาอ่านผลไม่เกิน 5 นาที หรือบางแบรนด์อาจมีประสิทธิภาพที่เร็วกว่านั้น ควรดูตามคำแนะนำ และอ่านคู่มือให้ละเอียดค่ะ
การอ่านผลลัพธ์ในการตรวจเป็นแบบเดียวกัน หากขึ้น 2 ขีด คือท้อง แต่หากขึ้นขีดเดียว คือไม่มีการตั้งครรภ์ค่ะ แต่ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับปริมาณของฮอร์โมนและปัจจัยอื่นๆด้วยนะคะ
Write a comment