ที่มา https://pixabay.com/
ปกติแล้วคนท้องมักจะต้องมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปเนื่องจากขนาดของครรภ์ขยายใหญ่และการบริโภคอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็มีคุณแม่หลายคนที่ช่วงตั้งท้องแต่น้ำหนักไม่ขึ้น
บางคนเขาก็ว่าผิดปกติบ้าง กลัวลูกจะตัวเล็กบ้าง ผิดปกติหรือไม่ น่ากังวลหรือเปล่า รับรองว่าเมื่อได้อ่านบทความนี้จบคุณแม่ที่กำลังประสบปัญหาจะหมดคำถามในทันทีค่ะ
ส่องกระทู้Pantip ท้อง 5 เดือน น้ำหนักไม่ขึ้น
เมื่อวันที่27/1/57 ครบ5เดือน หมอให้ฟังหัวใจเด็กก็ปรกติ แต่ตั้งแต่ตั้งครรภ์มา น้ำหนัก
อยู่ที่ 54 กิโลตลอดไม่ขึ้นเลย หมอบอกพยายามหน่อยกินอะไรบ้างทำไมไม่ขึ้นเลย หมอนัดซาวพรุ่งนี้ค่ะ
กลัวมีผลกับเด็กตัวเล็ก กังวลจังค่ะ เราก็เลยฝืนตัวเองให้ดื่มนม ไข่ เนื้อสัตว์
Suyanaja ติดตามกระทู้ฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์Pantip
ท้อง 22 สัปดาห์ค่ะ น้ำหนักขึ้นแค่ 1.2 กิโลค่ะ
มีแต่คนทักว่าท้องเล็กทำให้จิตตกเหมือนกันค่ะ
แต่พอไปตรวจ ลูกก็โตดีค่ะ โตกว่าอายุครรภ์อีก 1 สัปดาห์ค่ะ
ก็เลยสบายใจขึ้น ในสมุดฝากท้องเล่มสีชมพูมันจะมีหน้าให้วาดกราฟ
น้ำหนักคุณแม่เพื่อประมาณการน้ำหนักลูกในครรภ์นะคะ
ถ้าอยู่ในแถบเขียวตลอดลูกก็มีแนวโน้มน้ำหนักเกิน 3000 กรัมค่ะ
บางทีน้ำหนักแม่ขึ้นเยอะๆก็ไม่ได้ไปที่ลูกนะคะ น้ำหนักขึ้นเยอะก็เสี่ยงทั้ง
เบาหวาน ความดันโลหิตสูงช่วงท้องอีกนะคะ
พี่ที่รู้จักกันน้ำหนักขึ้นมา 20 กิโลกรัม แต่ลูกคลอดมา 2200 กรัมเองค่ะ
Petch_sri ติดตามกระทู้ฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์Pantip
ส่องกระทู้Pantip ท้อง 8 เดือนน้ำหนักไม่ขึ้นเลย!?
ตอนนี้ดิฉันท้องได้8เดือนนิดแล้วค่ะ.คือ นน.ของดิฉันคงที่จากเดือนที่เเล้วตอน7เดือนต้นๆ56 กิโลกรัม.มาเดือนนี้ก็ไม่ขึ้นเลยค่ะ.กินจนไม่รู้จะกินยังไงแล้วค่ะ.ส่วนน้ำหนักเจ้าตัวน้อย.เดือนนี้ยังไม่ได้ไปซาวทีค่ะอีก1อาทิตย์ครบหมอนัดซาวพอดีค่ะ.แต่กังวลนิดๆกลัวลูกมีผลกระทบต่อการที่เรามี นน.ไม่ขึ้นหรือไม่ค่ะ.ขอคำแนนะนำด้วยนะค่ะ.ลูกคนแรกเห่อมากกังวลไปซะทุกอย่าง.ลูกสาวสมใจคุณแม่ด้วยค่ะขอบคุณค่ะ.
ปล.จขท.นน.ก่อนท้อง44.ค่ะ.สูง167.ตอนนี้อายุครรภ์8เดือนกับอีก2วันค่ะ.นน.ตอนนี้56.คิดว่าน้อยไปไหมค่ะ
ไขข้องข้องใจกับ #5 คำตอบของแพทย์ผดุงครรภ์
ที่มา https://pixabay.com/
1.คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีน้ำหนักเท่าไหร่ อะไรเป็นเกณฑ์ว่าผิดปกติหรือตัวเล็กเกินไป?
อันที่จริงแล้วการที่คุณแม่น้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างโอเคกว่าแต่ต้องเทียบกับน้ำหนักเดิมของคุณแม่ ซึ่งน้ำหนักที่ขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ควรอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 18 กิโลกรัมหรืออย่างต่ำอยู่ที่ 9 กิโลกรัม
น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดีที่สุดควรจะอยู่ระหว่าง 9 กิโลกรัมถึง 11 กิโลกรัม
2. เกณฑ์ไทม์ไลน์น้ำหนักแต่ละไตรมาสของคุณแม่ควรเป็นดังนี้
ไตรมาสแรก (1-3 เดือน) น้ำหนักของคุณแม่ไม่ควรขึ้นมาเกิน 2 กิโลกรัม ในบางรายอาจจะลดลงเนื่องจากอาการแพ้ท้อง แต่ไม่ควรเพิ่มมากในระยะนี้ค่ะ
ไตรมาสที่สอง (3-6 เดือน) น้ำหนักของคุณแม่ควรเพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกิน 6 กิโลกรัม เฉลี่ยสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัมค่ะ (0.5 กิโลกรัม)
ไตรมาสสุดท้าย (6-9 เดือน) น้ำหนักของคุณแม่จะขึ้นอยู่ที่ราวฟ้า 3-6 กิโลกรัมและสามารถเพิ่มขึ้นได้มากกว่านี้ เนื่องจากในไตรมาสนี้หายจะอาการแพ้ท้องแล้ว จะสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น
3. หากแพ้ท้องจนน้ำหนักลด อันตรายไหม?
หากน้ำหนักลดช่วง 3 เดือนถือว่าไม่เป็นไรค่ะ เพราะช่วงไตรมาสแรกแม้ว่าคุณแม่จะรับประทานอะไรไม่ค่อยได้จนรู้สึกกังวลว่าลูกจะขาดสารอาหารแต่ความเป็นจริงคือ ตัวอ่อนในครรภ์ช่วงนี้ยังไม่ต้องการสารอาหารมากเกินที่ดึงจากร่างกายคุณแม่ไปในทุกวัน
แต่สำหรับช่วงไตรมาสที่สองคือเวลาสำคัญ เนื่องจากตัวอ่อนจะต้องการสารอาหารมหาศาลเพื่อการเจริญเติบโต ถ้าน้ำหนักลดในช่วงเดือนที่ 3 เป็นต้นไปคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผดุงครรภ์ค่ะ
4. หากมีครรภ์แฝด น้ำหนักของคุณแม่ควรเพิ่มขึ้นแค่ไหน?
จากปกติแล้วที่ควรอยู่ระหว่าง 9 กิโลกรัมถึง 11 กิโลกรัมถึงจะพอดีแต่กับครรภ์แฝดจะแตกต่างออกไป คุณแม่จะมีน้ำหนักเพิ่มมาอีกประมาณ 5 กิโลกรัมจากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เดี่ยว ซึ่งคุณแม่ต้องระวังเรื่องน้ำหนักเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าหากน้ำหนักมากเกินเกณฑ์อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
5. น้ำหนักน้อยคลอดง่าย จริงหรือไม่?
จริงค่ะ เนื่องจากว่าทั้งคุณแม่และคุณลูกที่มีน้ำหนักตัวพอดีจะคลอดง่ายกว่าเด็กที่ตัวใหญ่และคุณแม่ที่น้ำหนักเยอะ เพราะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายทารกอาจจะติดช่องคลอดทำให้ไม่สามารถคลอดเองได้และอาจมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไปอีกด้วย แต่ไม่ใช่ว่าได้ยินแบบนี้แล้วคุณแม่จะอยากให้ลูกตัวเล็กอย่างเดียวนะคะ เพราะเด็กที่น้ำหนักน้อยเกินไปจะมีภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดได้ง่ายค่ะ
สรุปผล ท้อง น้ำหนักไม่ขึ้น
ที่มา https://pixabay.com/
หากเกิดการน้ำหนักไม่ขึ้นในช่วงท้องไตรมาสแรกถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ เนื่องจากคุณแม่อาจยังแพ้ท้องทำให้รับประทานอะไรได้ไม่สะดวก แต่ถ้าในช่วงไตรมาสที่สอง-สามยังคงน้อยกว่าเกณฑ์คุณแม่ควรรีบปรึกษาแพทย์ผดุงครรภ์เพื่อหาสาเหตุนะคะ อย่าปล่อยไว้จนถึงเวลาคลอดเพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้
