#5 เคล็ดลับวิธีคลอดบุตรให้ปลอดภัย คลายกังวลให้คุณแม่ก่อนคลอด

#5 เคล็ดลับวิธีคลอดบุตรให้ปลอดภัย คลายกังวลให้คุณแม่ก่อนคลอด
table of contents

คลอดบุตร

คุณแม่คนไหนที่กำลังตั้งครรภ์ ท้องแก่ใกล้คลอด อาจจะกำลังกังวลเกี่ยวกับการคลอดบุตรกันอยู่ใช่มั้ยล่ะคะ ยิ่งถ้าเป็นคุณแม่มือใหม่แล้วด้วย คงจะกังวลมาก ๆ ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมพร้อมยังไง เตรียมของอะไรไปให้ทารกบ้าง หรือต้องมีวิธีรับมือยังไงในการคลอดบุตร เพื่อให้คุณแม่หายกังวลใจ วันนี้เราจะบอก #5 เคล็ดลับวิธีคลอดบุตรให้ปลอดภัยกันค่ะ

อาการที่บ่งบอกว่าจะคลอดลูก

คลอดบุตร

ต้องบอกก่อนนะคะว่า การคลอดบุตร ไม่ได้ง่ายเหมือนในละคร ที่จะนับ 1 2 3 แล้วทารกตัวน้อยจะได้ออกมาลืมตาดูโลก เพราะความเป็นจริงแล้ว คุณแม่หลายคน ต้องนอนอยู่ในห้องคลอดกว่าหลายชั่วโมง เนื่องจากแต่ละคนมีก็ภาวะคลอดยาก คลอดง่าย แตกต่างกันไป แม้ว่าคุณแม่จะอยากเห็นหน้าลูกของตัวเองเร็วขนาดไหน แต่การคลอดบุตรก็ต้องขึ้นอยู่กับหลาย ๆ อย่างด้วยค่ะ

อาการแรกเริ่ม ที่บ่งบอกว่า ลูกน้อยของคุณพร้อมแล้วที่จะออกมาสู่โลกกว้าง คือคุณแม่จะมีอาการปวดที่ท้องน้อย มีมูกเลือดไหลออกมาและเจ็บที่หัวหน่าว นี่ล่ะค่ะเป็นสัญญาณที่บอกว่า ได้เวลาคลอดบุตรแล้ว

5 เคล็ดลับวิธีคลอดบุตรให้ปลอดภัย

คลอดบุตร

สำหรับคุณแม่ไม่ว่าจะมือใหม่ หรือคุณแม่ที่เคยผ่านการคลอดมาแล้ว ลองมาดูวิธีการคลอดบุตรให้ปลอดภัย ทั้งต่อตัวแม่และเด็ก รวมถึงทำให้คลอดง่ายและเจ็บน้อยลง มาดูกันค่ะว่ามีวิธีอะไรกันบ้าง

1.ฝึกเบ่ง

การฝึกเบ่ง ถือว่าเป็นวิธีหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ เพราะการคลอดบุตร ต้องอาศัยการเบ่งที่ถูกต้องและถูกวิธี คุณแม่ต้องเรียนรู้การเบ่งให้ถูกเวลา และควรรู้ว่าตอนไหนบ้างที่ต้องหยุดพัก ทั้งนี้ ภายในห้องคลอดจะมีสูติแพทย์คอยให้คำแนะนำคุณแม่ในตอนเบ่งคลอด คุณแม่จึงควรให้ความร่วมมือและทำตามคำแนะนำของสูติแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ทั้งแม่และบุตรปลอดภัย

คลอดบุตร

2.ฝึกหายใจเข้าลึก ๆ

ในช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องคลอดบุตร โดยเฉพาะในขณะเบ่งนั้น คนเป็นแม่ต้องใช้แรงเยอะในการเบ่ง ดังนั้น การสูดลมหายใจเข้าให้ลึกและยาว จะช่วยให้เบ่งลูกได้นานขึ้น นั่นหมายว่า บุตรของคุณก็จะออกมาได้เร็วเช่นกัน เป็นธรรมดาที่คุณแม่อาจจะตื่นเต้นกับการคลอดบุตร แต่ควรคุมสติให้ดี และโฟกัสที่ลมหายใจ อย่าตื่นตระหนก เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คุณก็จะเบ่งลูกออกมาได้ง่ายขึ้นแล้วค่ะ

3.ก้มหน้าให้ชิดคาง

เมื่อเวลาคุณแม่เบ่งลูก อย่าลืมว่า ต้องก้มหน้าให้ชิดกับคางเข้าไว้ และเบ่งให้สุด เหมือนกับเวลาที่ข้าศึกบุกแล้วเข้าห้องน้ำนั่นล่ะค่ะ เบ่งเหมือนกับว่าปวดอุจจาระเลย ก้มหน้าชิดคางแล้ว ก็อย่าลืมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ระหว่างนี้ไปด้วย และเบ่งให้มากที่สุดเท่าที่เบ่งได้ ในขณะเดียวกันก็ใช้มือจับขอบเตียงสองข้างไว้ เพื่อให้เบ่งได้ถนัดมากขึ้น

4.อ้าขาออกให้กว้าง

เมื่อคุณแม่เบ่งลูก ควรอ้าขาออกให้กว้าง เพื่อให้สะดวกต่อการนำทารกออกมา คอยดูจังหวะที่มดลูกบีบจนแข็งตัวเต็มที่ จึงเบ่งอย่างสุดแรงอีกครั้ง ช่วงที่เบ่งนี้ คุณแม่อาจจะเจ็บ แต่ก็ต้องอดทน เพราะหมอสูติก็ไม่สามารถช่วยคุณแม่เบ่งได้ นาทีนี้ มีแต่ผู้เป็นแม่เท่านั้นที่ต้องใช้แรงเบ่งเพื่อให้ทารกน้อยออกมา คุณหมอและทีมจะเพียงช่วยให้กำลังใจและดูแลเรื่องอื่น ๆ เท่านั้น ดังนั้น ยิ่งคุณแม่เบ่งได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อทั้งตัวบุตรและคุณแม่ค่ะ

คลอดบุตร

5.ห้ามอ้าปาก

อาจจะเป็นข้อห้ามที่ตามมาด้วยข้อสงสัย ว่าการห้ามอ้าปาก เกี่ยวอะไรกับคลอดบุตร แต่การอ้าปากนั้น จะเป็นการทำให้ลมที่เราหายใจเข้าปอดน้อยลง และทำให้แรงเบ่งเราอ่อนกำลังลงด้วยค่ะ ดังนั้น ที่เห็นในละครว่ามีการร้องเสียงหลงเวลาคลอดบุตร ความจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำค่ะ ควรตั้งใจ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่อ้าปาก เพื่อให้ลมหายใจที่สูดเข้าไป ช่วยให้คุณแม่เบ่งลูกได้ดีขึ้นคลอดบุตร

นี่เป็น 5 เคล็ดลับพื้นฐาน ที่จะช่วยให้คุณแม่ คลอดบุตรได้ง่ายและปลอดภัย ความจริงแล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณแม่ควรรู้ก่อนคลอดบุตร คุณแม่จะควรศึกษาหรือปรึกษาแพทย์สูติหากยังมีความกังวลใจในเรื่องใด เพื่อให้การคลอดบุตรเป็นไปด้วยดีที่สุด แต่ที่สำคัญเลยสำหรับคลอดบุตรก็คือ ควรรู้จังหวะการเบ่ง จังหวะหายใจ ที่ถูกต้องและถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยทั้งแม่และบุตรค่ะ

สิ่งที่ต้องเจอเมื่อเข้าห้องคลอดก่อนคลอดบุตร

นอกจากหมอสูติ ก่อนคลอด ไม่ใช่แค่เข็นคุณแม่เข้าห้องแล้วจะทำการคลอดเลยเสียเมื่อไหร่ มาดูกันค่ะว่า ก่อนการคลอดจริง ๆนั้น คุณแม่ต้องเจอกับอะไรบ้าง

1.การตรวจภายใน

แน่นอนว่าก่อนคลอด คุณหมอจะต้องตรวจดูภายในของคุณแม่ก่อนว่าปกติและพร้อมคลอดหรือไม่ การตรวจภายในจะทำให้หมอรู้ว่า ปากมดลูกตอนนี้เปิดกี่เซนติเมตรแล้ว และน้ำคร่ำแตกหรือยัง เด็กกลับหัวแล้วหรือไม่ ดังนั้น ก่อนคลอดจึงจำเป็นต้องตรวจภายในอย่างละเอียดเสียก่อน

คลอดบุตร

2.ฟังเสียงหัวใจของบุตร

คุณหมอจำเป็นต้องฟังเสียงหัวใจของทารกเสียก่อน เพื่อจะได้รู้วา ตอนนี้บุตรของคุณแม่ ยังปกติดีหรือไม่ เพราะหากทารกน้อยในท้องเกิดมีอัตราการเต้นหัวใจที่ผิดปกติไป ทางหมออาจจะต้องเปลี่ยนวิธีแบบคลอดธรรมชาติมาเป็นวิธีผ่าแทน เพื่อให้เด็กปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

3.การเตรียมช่องคลอดก่อนคลอดบุตร

หากถึงเวลาที่จะคลอดบุตรจริง ๆ แล้ว คุณหมอจะสวนอุจจาระของคุณแม่และโกนขนอวัยวะเพศ เพื่อความสะอาดและความสะดวกในการคลอด

คลอดบุตร

4.ตรวจสอบการเจ็บครรภ์ของคุณแม่

ก่อนคลอด หมอจะเช็คว่าคุณแม่เจ็บครรภ์อยู่ตลอดหรือไม่ หรือจำเป็นต้องใช้ยาเร่ง และดูระยะรอคลอดว่านานเกินไปหรือเปล่า ซึ่งหากมีความปกติเกิดขึ้น หมอก็ได้ช่วยเหลือคุณแม่และบุตรได้ทัน ในขณะเดียวกัน หมอจะดูว่า ในระหว่างรอคลอดนั้น ปากมดลูกค่อย ๆ เปิดอยู่ตลอดหรือไม่

5.ยาบรรเทาอาการปวด

คุณหมอจะประเมินอาการของคุณแม่ ว่าคุณแม่มีอาการเจ็บปวดมากเพียงใด หากเจ็บมาก หมอก็จะให้ยาบรรเทาอาการปวด แต่ถ้าหากมีอาการเจ็บปวดรุนแรง ก็อาจจะต้องบล็อกหลัง

ของใช้เตรียมคลอดบุตรมีอะไรบ้าง ?

คลอดบุตร

1.เอกสารต่าง ๆ เช่น ใบนัดแพทย์ บัตรประชาชนของผู้เป็นบิดา บัตรประกันสังคม บัตรประกันชีวิต ใบบันทึกการฝากครรภ์

คลอดบุตร

2.เสื้อผ้าของคุณแม่ โดยเป็นแบบใส่สบาย ๆ รวมทั้งยกทรงที่เหมาะสำหรับให้นมลูก หรือผ้าปิดหน้าอกเวลาให้นมลูก

คลอดบุตร

3.ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน ยาสระผม และอาจจะเตรียมของลูกน้อยไปด้วย

4.ผ้าอนามัย ในตอนที่คุณแม่เพิ่งคลอดบุตร จะยังคงมีน้ำคาวปลาออกมา ดังนั้น จึงควรใส่ผ้าอนามัยรองไว้

คลอดบุตร

5.ขวดนมสำหรับทารก , เครื่งปั๊มนมและแผ่นซับน้ำนม , ถุงเก็บน้ำนม

6. เสื้อผ้าทารก , ผ้าอ้อม

คุณแม่แบบไหนต้องผ่าคลอด?

รู้วิธีเตรียมตัวสำหรับการคลอดบุตรและของทีต้องเตรียมก่อนคลอดบุตรกันแล้ว คราวนี้ เรามาดูกันว่า คุณแม่แบบไหนบ้างที่ไม่สามารถคลอดแบบวิธีธรรมชาติได้ และต้องผ่าคลอด และคุณเป็นคุณแม่ประเภทนั้นหรือเปล่า มาดูกันค่ะ

คลอดบุตร

1.คุณแม่ลูกแฝด

ความจริงแล้ว การตั้งครรภ์แฝด สามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ แต่ถ้าหากเด็กอยู่ในตำแหน่งขัดกัน คืออยู่คนละท่า ก็จำเป็นต้องผ่าคลอดค่ะ

2.ทารกตัวใหญ่เกินไป

หากเด็กตัวใหญ่เกินไป คุณแม่จะไม่สามารถคลอดเองได้ เพราะเด็กตัวใหญ่กว่าอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ และหากคลอดตามธรรมชาติ อาจจะติดที่ช่วงหัวไหล่ของเด็ก จึงไม่ปลอดภัยต่อทั้งตัวเด็กและแม่ค่ะ

3. คุณแม่มีโรคประจำตัว

หากคุณแม่มีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่จะต้องผ่าคลอด เพราะการคลอดลูกอาจจะส่งผลกระทบทำให้เกิดอันตรายต่อแม่และลูกได้ เช่น โรคเบาหวาน ดังนั้น การผ่าคลอดจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

4.อุ้งเชิงกรานผิดปกติ

โดยปกติแล้ว คุณแม่ใกล้คลอด มดลูกจะเปิดและอุ้งเชิงกรานก็จะขยาย แต่หากอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ผิดปกติ หรือไม่ขยาย จะต้องผ่าตัดคลอดเท่านั้นค่ะ

สิทธิที่จะได้รับในการคลอดบุตร

คุณแม่ที่คลอดบุตร จะได้รับสิทธิดังต่อไปนี้

1.สิทธิจากประกันสังคม

-ได้เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50% ของค่าจ้าง เฉลี่ย 90 วันไม่เกิน 2 ครั้ง

-หากคุณแม่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมครบ 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนจะถึงเดือน ที่คลอดบุตร คุณแม่สามารถเบิกค่าคลอดจากประกันสังคมได้เป็นจำนวน 13,000 บาท

-ได้รับค่าตรวจและรับฝากครรภ์ 1,000 บาท หากฝากครรภ์ตามสถานพยาบาลที่ประกันสังคมกำหนด โดยจ่ายตามอายุครรภ์ ทั้งหมด 3 ครั้ง

ครั้งที่ 1 (อายุครรภ์ไม่เกิน 3 เดือน) จ่ายไม่เกิน 500 บาท

ครั้งที่ 2 (อายุครรภ์ไม่เกิน 3-5 เดือน) จ่ายไม่เกิน 300 บาท

ครั้งที่ 3  (อายุครรภ์ไม่เกิน 5-7 เดือน) จ่ายไม่เกิน 200 บาท

2.สิทธิจากนายจ้าง

ได้สิทธิ์ในการลาคลอด  98 วัน โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้เป็นจำนวน 45 วัน

3.สิทธิเงินสงเคราะห์บุตร

คุณแม่ที่จะได้สิทธิ์เงินสงเคราะห์บุตร ต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 กับ 39 เท่านั้น คือจะต้องจ่ายเงินทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน โดยจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร เดือนละ 600 บาท

สรุปการคลอดบุตร

สำหรับในบทความนี้ คุณแม่มือใหม่ก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีคลอดบุตรที่ถูกต้อง และการเตรียมตัวก่อนไปคลอดบุตร ส่วนคุณแม่ที่เคยผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว ครั้งแรกอาจจะยังไม่ได้ศึกษาอย่างครบถ้วน

บทความนี้จึงจะช่วยให้คุณแม่ที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอด มีความพร้อมในการคลอดบุตรมากขึ้น หวังว่าข้อมูลเหล่านี้ จะมีประโยชน์และช่วยให้คุณแม่คลอดบุตรได้ง่าย ลูกน้อยออกมาปลอดภัย อย่างที่ตั้งใจนะคะ

คลอดลูกLatest articles in the category